ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

สิ่งที่เห็น

๑๖ มิ.ย. ๒๕๖๑

สิ่งที่เห็น

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต


ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๖๑

วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) .หนองกวาง .โพธาราม .ราชบุรี


ถาม : เรื่องการภาวนา

กราบนมัสการหลวงพ่อ 

ขออนุญาตสอบถามเรื่องการภาวนา เวลาที่เราพุทโธจน จิตสงบลงมา สิ่งที่เห็นคือภาพความคิด ความรู้สึกมันเกิดขึ้น แบบเป็นอิสระ เวลามันเปลี่ยนสภาพไปมาให้เราดู มันขึ้นกับความสงบของเรา เวลาจับได้ทัน มันเบา สบาย แต่เมื่อไหร่ที่ความสงบมันคลายตัวออกมา การเชื่อมต่อมันเริ่มไม่เป็นอิสระ มันจะมีตัวเสี้ยมทำงานสอดแทรกมาพร้อมกับความรู้สึกนึกคิด ถ้าจับทันมันจะหายวับไป ไม่พาเราคิดไปต่อ ซึ่งนานๆ ทีถึงจะ จับได้ เพราะมันเร็วมากๆ 

ไม่เหมือนตอนเราทำสมาธิ แต่ถ้าจับได้ทันมันจะเตรียมตัว รับผลจากตัวเสี้ยมได้เลย เพราะมันจะเสี้ยมเราทุกวิธี เสี้ยมซ้ำๆ ต่อให้เราเคยใช้เหตุผลกับมันได้แล้วครั้งหนึ่ง พอมันเสี้ยมมารอบ ใหม่ๆ เหตุผลที่เคยใช้เหมือนไม่มีความหมาย เพราะมันจะเสี้ยม เราอีก โดยเปลี่ยนรูปแบบหน้าตาไปเรื่อยๆ จนกว่าเราจะกระทำตามที่มันต้องการสำเร็จทั้งกาย วาจา ใจ ซึ่งผลที่ตามมาก็คือ อึดอัด ไม่โปร่งสบายเหมือนตอนที่เรามีสมาธิ แล้วเห็นใน สิ่งเดียวกัน

คำถาม ทั้งที่เราทำความเพียรเท่าๆ เดิม แต่เหมือนเราจับทุกข์ของตัวเองไม่ค่อยได้ จับอาการตอนที่มันเสี้ยมได้น้อยลง ทั้งที่เราเคยจับได้ รู้สึกมันจับยากขึ้นจนจับไม่ได้เลย เลยไม่มี เรื่องให้พิจารณาเหมือนในช่วงแรกๆ จนทำให้ความเพียรลดลง เรื่อยๆ เพราะไม่รู้จะทำงานอะไร ตอนนี้รู้สึกการภาวนาไม่ก้าวหน้า ขออุบายด้วยค่ะ

ตอบ : อันนี้คำถามเนาะ คำถามว่าการภาวนา การภาวนา เห็นไหม ถ้าการภาวนาเขาทำของเขาไปเรื่อยๆ ทำของเขาไปเรื่อยๆ ถ้าทำของเขาไปเรื่อยๆ จิตมันสงบขึ้นแล้ว ถ้าจิตมัน สงบขึ้น จิตมันดีขึ้น จิตมันพัฒนาขึ้น เราทำแล้วเราก็ได้ผล 

ถ้าจิตมันไม่พัฒนาขึ้น จิตมันไม่ดีขึ้น ทำแล้วเบื่อหน่าย คนที่ภาวนา ภาวนา ส่วนใหญ่ที่มาถามปัญหา ส่วนใหญ่บอกว่า เคยเป็น เคยเป็นเมื่อ ๑๐ ปีที่แล้ว เมื่อ ปีที่แล้วไง พอทำ ไปสักพักหนึ่งแล้วเขาก็เบื่อหน่าย พอเบื่อหน่ายก็ทิ้งไป พอทิ้งไป เสร็จแล้วก็กลับมาภาวนาไป ทิ้งไป แล้วกลับมาภาวนาใหม่ ก็เป็นอยู่อย่างนี้ จะก้าวหน้าก็ไม่ก้าวหน้า แต่เวลาจะทิ้งเลยนะ มันก็เสียดาย มันก็อาลัยอาวรณ์ อันนี้พูดถึงว่า เวลาเราทำแล้วมันไม่ได้ผล 

แต่ถ้าทำมันได้ผลนะ มันทำต่อเนื่อง ทำต่อเนื่องไป มันก็ทำต่อเนื่องไปได้ นี้ทำต่อเนื่องไปได้ เวลาคนภาวนาไปมันอยู่ที่ วุฒิภาวะ คำว่าวุฒิภาวะหรือว่าจริตนิสัยของคนที่มันสูง มันต่ำ ถ้ามันสูงขึ้นมานะ เขาจะภาวนาของเขาไปเรื่อยๆ ภาวนาของเขาไปเรื่อยๆ แต่คนภาวนาไปเรื่อยๆ ส่วนใหญ่แล้วมันจะมีกิเลสคอยยุคอยแหย่ กิเลสคอยยุคอยแหย่ขอให้เลิก ขอให้เบา คอยแบบว่าจะแย่งชิงเวลาไป แต่ถ้าคนมีเวลานะ ทำต่อเนื่องไป ทำต่อเนื่องไป คุณภาพชีวิตจะดีขึ้นเรื่อยๆ 

คำว่าคุณภาพชีวิตของเราจะดีขึ้นเรื่อยๆเพราะเรา มีสติมีปัญญา ถ้ามีสติมีปัญญานะ หน้าที่การงานก็เป็นเรื่องหน้าที่การงานนะ มันจะหาเวลามาภาวนา แล้วถ้าภาวนาก็ภาวนาของเราเองที่ไหนก็ได้ มันไม่ทิ้ง มันทำของมันต่อเนื่องไป แล้วชีวิตนี้มันจะมีสติมีปัญญาเป็นเครื่องดำเนิน เป็นตัวชี้นำ เป็นเข็มทิศ 

ถ้าคนมีสติปัญญาจะทำอะไร คนเราโดยธรรมชาติมันต้องอุปสรรคแน่นอน คำว่าอุปสรรคเวลาหน้าที่การงานของคน มันสูงๆ ต่ำๆ มันเปลี่ยนงานตลอดไป มันมีของมันอยู่ตลอด แล้วถ้ามันมีสติมีปัญญามันก็จะผ่านพ้นเรื่องวิกฤตินี้ไป แต่ถ้า มันไม่มีสติปัญญานี่ไฟทั้งนั้น มันเผาเราทั้งนั้น ถ้ามันจะเผาเรานะ นี่พูดถึงว่า ผลของการภาวนา เขาถามถึงผลของการภาวนานะ ถ้ามันภาวนา ถ้ามันพุทโธไปเรื่อยๆ เขาว่ามันสงบ มันเบา มันสบาย มันเบามันสบายตลอด 

แต่ถ้าไม่ภาวนาสิ เขาบอกว่ามันมีตัวเสี้ยม ตัวเสี้ยมไอ้ตัวเสี้ยม ตัวเสี้ยม พอตัวเสี้ยม เขาถามว่าเวลาไอ้ตัวเสี้ยม คือว่าไอ้การยุแหย่ของกิเลส พอมันยุแหย่แล้วถ้าเรามีสติมีปัญญา เท่าทันมัน มันก็หยุดได้ ถ้าเวลาสติเราไม่เท่าทันมัน เห็นไหม มันก็ลากเราไปคิดจนสาแก่ใจ แล้วมันค่อยจะสงบลงได้ ไอ้กรณีอย่างนี้เราคิดว่าแล้วมันเป็นเพราะอะไร มันเป็นเพราะอะไร” 

เพราะการภาวนาของเรา เห็นไหม การภาวนาของเราส่วนใหญ่แล้วความรู้สึกนึกคิดมันเป็นนามธรรม นามธรรม มันเจริญแล้วเสื่อม เจริญแล้วเสื่อมไง แต่ถ้าวันไหนมีสติสมบูรณ์ มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ เห็นไหม ถ้าเรารักษาจิตเราดี ไอ้ตัวเสี้ยมเกิดไม่ได้ แต่ถ้าไอ้ตัวเสี้ยมที่มันเกิดมา เกิดมา เกิดเพราะขาดสติของเรา แล้วเกิดเพราะความคิดมันจำเจ พอความคิดจำเจ ไอ้ตัวเสี้ยมมันคอยเสี้ยมตลอดเวลา ถ้าคอยเสี้ยมตลอดเวลา มันเป็นเพราะอะไร เป็นเพราะอะไร 

มันเป็นเพราะว่ากิเลสมันมีอยู่กับเรา กิเลสมันมีอยู่กับเราโดยพื้นฐานเลย อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา เพราะอวิชชาเป็น พื้นฐาน ภวาสวะ ภพนั่นน่ะ ไอ้ตัวภพนั่นน่ะมันมีอวิชชา นั่นน่ะ พ่อมัน จิตเดิมแท้ จิตเดิมแท้ นั่นน่ะคืออวิชชา แล้วจิตคือ อวิชชา เห็นไหม เวลาความคิดอนุสัยมันนอนเนื่องมา เวลาเรา จะคิด เราจะรู้สึกนึกคิด 

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเย้ยมารไง มารเอย เธอเกิดจากความดำริของเรา เราจะไม่ดำริถึงเจ้า เจ้าจะเกิดบนหัวใจเราอีกไม่ได้เลย มารเอย เธอเกิดจากความดำริของเรา ไอ้จิตใจเรามี ภพเรามี ความรู้สึกเรามี ไอ้ตัวเสี้ยมมันมีของมันอยู่แล้ว ถ้าตัวเสี้ยมมันมีอยู่แล้ว สิ่งที่ตัวเสี้ยมถ้ามันมีสติ มีปัญญามันเท่าทัน ไอ้ตัวเสี้ยมมันแสดงตัวไม่ได้ ไอ้ตัวเสี้ยม แสดงตัวไม่ได้ 

เวลาตัวเสี้ยมแสดงตัวไม่ได้โดยการภาวนานะ ถ้าภาวนาต่อเนื่องไป ศีล สมาธิ ปัญญา ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าจิตมันสงบแล้ว ถ้าจิตสงบแล้วถ้ามันเจริญก้าวหน้าไป มันจะไปเห็นสติปัฏฐาน ตามความเป็นจริง คือเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม ตามความเป็นจริง ถ้าเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง นั่นน่ะมันจับพิจารณาได้

เวลาพิจารณาๆ ปัญญาในพระพุทธศาสนาคือปัญญาในการวิปัสสนา ภาวนามยปัญญา วิปัสสนาคือปัญญาการ รู้แจ้ง การรู้แจ้งไอ้ตัวเสี้ยม การรู้แจ้งในจิตของตน การรู้แจ้งว่าไอ้ตัวเสี้ยมมันตั้งอยู่อย่างไร แล้วมันจะเกิดขึ้นอย่างไร แล้วมันจะเสี้ยมอย่างไร เวลาตัวเสี้ยม เราจับตัวเสี้ยมได้ ถ้าจับตัวเสี้ยมได้ เราพิจารณาตัวเสี้ยมมันเกิดมาจากไหน มันจะย้อนกลับเข้าไปสู่ใจทั้งนั้น ถ้ามันจะย้อนกลับไปสู่ภวาสวะ เข้าไปภพ เข้าไปที่ใจ มันทำลายกันที่นั่น ถ้ามันถอดถอนที่นั่นมันก็ จบ ถ้ามันจบไปแล้วนะตัวเสี้ยมไม่มี ไม่มีเป็นชั้นเป็นตอนนะ แต่ถ้ามันยังไม่ได้ทำลายตัวเสี้ยมมันมี

เราจะบอกว่า สิ่งนี้เป็นนามธรรมมันเกิดดับ ถ้ามันเกิดดับ เวลามันเกิดขึ้นมามันมีของมันอยู่แล้วในจิตใต้สำนึกของเรา แต่มันไม่ออกมาด้วยสติด้วยปัญญาของเรา ด้วยมารยาทของเรา เราควบคุมดูแลหัวใจของเรา ถ้าควบคุมดูแลหัวใจของเรา ถ้าทำ ความสงบของใจ เวลาเขาบอกว่าถ้าเขากำหนดพุทโธๆ ถ้าจิต มันสงบลง มันเบา มันสบายมันเบา มันสบายนี่เครื่องอยู่ นี่ธรรมโอสถ ศีล สมาธิ ปัญญา สติธรรม สมาธิธรรม ปัญญาธรรม มันเป็นธรรมๆ เป็นธรรม ธรรมมันเกิดขึ้นมาจากไหน ธรรมมันเกิดขึ้นมาจากเราปฏิบัติไง 

เราฝึกหัด เราขวนขวาย เราทำจนเราเป็นไง เวลาเรา เป็นขึ้นมาแล้ว เดี๋ยวมันเจริญแล้วเสื่อม การเจริญแล้วเสื่อม เราต้องปฏิบัติ ปฏิบัติต่อเนื่อง เราพยายามฝึกหัดต่อเนื่อง รักษา จิตต่อเนื่อง ถ้ารักษาจิตต่อเนื่องมันต่อเนื่องไป เราก็จะเบาสบาย แต่เขาบอกว่าแต่เวลาที่จิตมันไม่สงบ เวลาจิตไม่สงบ ความเชื่อมต่อไอ้การเบาสบายมันก็ขาดไป มันขาดไปพอมันขาดไป ไอ้ตัวเสี้ยมมันก็มา ไอ้ตัวเสี้ยมสิ่งต่างๆ ก็มา ไอ้ความคิดก็ผุด ขึ้นมาทั้งนั้นน่ะ

ถ้าความคิดผุดขึ้นมา เห็นไหม เราเห็นถึงโทษของมันไง โทษของมันคือโทษจากภายใน โทษจากหัวใจของเรา โทษจากจิตใต้สำนึก แต่ถ้ามันมีสติปัญญามันจะเท่าทัน เท่าทันไปเรื่อย เพราะ เพราะคนเราเกิดมา เห็นไหม เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เวลาเกิดเป็นมนุษย์ เกิดในอบายภูมิ เกิดกำเนิด ถ้ากำเนิด เกิดในภพชาติใด มีความเห็นใด ความคิดสิ่งใด มันก็มีความคิดอย่างนั้น แต่ถ้ามีสติปัญญาเท่าทันมันๆ ต้องเท่าทันก่อน ตามรู้ตามเห็น คำว่าตามรู้ตามเห็นนะเวลาเรามีผลกระทบ เรามี ความคิดอะไร ที่มันพาเราทำจนทั้งกาย วาจาจบแล้ว แล้วเรา คิดได้ เห็นไหม ตามรู้ตามเห็น 

ถ้าตามรู้ตามเห็นมันไป คนที่ไม่มีธรรมในใจนะ เวลาทำทั้งกาย วาจา ใจ จบแล้ว มันยังไม่รู้จักผิดจักถูก ยังสะใจ ยังพอใจ แต่ถ้าคนมีสติปัญญาเราทำไปอย่างนี้ นี่ๆ กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน กรรมคือการกระทำ แล้วเราทำลงไป มโนกรรม เราทำไป เราทำผิดหรือทำถูก ถ้าเราทำผิดเราก็เสียใจ ถ้าเรา ทำถูกต้อง อื้ม! เราควรจะทำให้มากขึ้น ทำให้ดีงามขึ้นมา

นี่ไง ตามรู้ตามเห็น รู้เท่ารู้ทัน รู้เท่ารู้ทัน เวลาไอ้ตัวเสี้ยมมันจะเกิดรู้เท่ารู้ทัน ถ้าเราฝึกหัดของเราไปเรื่อยๆ เราจะ รู้เท่ารู้ทัน มันจะเสี้ยมเมื่อไหร่ มันจะเกิดเมื่อไหร่ เรารู้เท่ารู้ทัน รู้แจ้งแทงตลอด รู้แจ้งแทงตลอดเลย มันจะเกิดอย่างไร ในเมื่อ เรากวาดบ้านเราสะอาดหมดแล้ว มันจะเกิดได้อย่างไร มัน เกิดอีกไม่ได้ ถ้าเกิดอีกไม่ได้ เห็นไหม นี่พูดถึงตัวเสี้ยม

เราจะบอกว่าสิ่งนี้เป็นนามธรรม ถ้าสิ่งที่เป็นนามธรรม เห็นไหม ความรู้สึกนึกคิดของเราเป็นนามธรรม สิ่งที่เป็นนามธรรมมันเกิดดับ เกิดดับ ถ้าสติปัญญาเราอ่อนแอเราควบคุมไม่ได้หรอก มันเกิดตามอำนาจของมัน แล้วเกิดตามอำนาจของมัน ทางวิทยาศาสตร์ ถ้าใครย้ำคิดย้ำทำมันจะเป็นจริต มันจะ เป็นนิสัย ความคิดย้ำคิดย้ำทำ ย้ำคิดย้ำทำจนเป็นจริตนิสัย ถ้าเรามีสติปัญญาเท่าทัน เราพยายามทำให้เราเท่าทันมัน เราไม่ย้ำ คิดย้ำทำมันก็ไม่เป็นจริต ไม่เป็นนิสัย ไม่ตอกย้ำไง

ความไม่ตอกย้ำความรู้สึกนึกคิดอันนั้น แล้วสิ่งที่เราเป็นนามธรรม เวลาย้ำคิดย้ำทำจนเป็นจริตเป็นนิสัย เป็นจริตเป็นนิสัยไปเลย แล้วถ้ามันเป็นจริตนิสัยมันก็อยู่ที่จริตนิสัยของคน มันจะออกมาช่องไหนล่ะ มันออกมาตามความชอบของตน ถ้ามันไม่ชอบมันก็เป็นความทุกข์ ถ้ามันชอบมันก็เป็นความสุข สุขกับทุกข์ สุขเวทนา ทุกขเวทนา แล้วเวทนาจริงหรือเท็จ เวลา มีสติปัญญาของมันเข้าไปอีกไง

นี่พูดถึงผลการภาวนานะ ภาวนาไปแล้ว สิ่งที่มันเกิดขึ้น มันเกิดขึ้นโดยธรรมชาติของจิต มันเป็นของมันอยู่อย่างนี้ ถ้ามันเป็นของมันอยู่อย่างนี้ เพียงแต่คนเราจะรู้จักค้นคว้าหาความจริงของตนเจอหรือไม่ ถ้าคนรู้จัก เห็นไหม คนพยายามฝึกหัดค้นคว้าหาใจของตน ถ้าค้นคว้าหาใจของตนคือทำความสงบของใจเข้ามาได้ ถ้าใจสงบแล้วนี่สมถกรรมฐาน ฐานที่ตั้งแห่งการงาน มันจะเกิดสติปัฏฐาน ตามความเป็นจริง 

ถ้าเกิดสติปัฏฐาน ตามความเป็นจริง มันจะเกิดมันจะ คำว่าจะถ้ามันจะ สำคัญมาก สำคัญมาก เวลาจิตสงบแล้วยกขึ้นสู่วิปัสสนา คนที่ยกขึ้นวิปัสสนาไม่ได้มันก็เป็นจินตนาการ สร้างภาพ คิดขึ้นเอง พอคิดขึ้นเอง กรณีการคิดขึ้นเองมันก็เป็นวิธีการอันหนึ่งนะ สมมติว่าอย่างเราทำจิตสงบแล้ว แล้วค้นคว้าหาไม่ได้ เราสร้างไม่ได้ เราก็ต้องคิดขึ้นมา การคิดขึ้นมา เห็นไหม การคิดขึ้นมาก่อน ถ้าคิดขึ้นมาก่อน พอคิดเป็นแนวทางเป็นร่องเป็นรอย แล้วเดี๋ยวพอมันจับต้องได้ เดี๋ยวมันค้นคว้าไป อันนั้นน่ะมันถึงจะเป็นความจริงขึ้นมา ถ้าเป็นความจริงขึ้นมามันเป็น ข้อเท็จจริง

ถ้าเป็นข้อเท็จจริง ถ้าพิจารณาอย่างนั้นไป มันถึง จะเป็นวิปัสสนากรรมฐาน สมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน สมถกรรมฐาน ฐานที่ตั้งแห่งการงาน ถ้าฐานที่ตั้งแห่งการงาน ถ้ามันจับต้องได้ สมถกรรมฐานยกขึ้นสู่วิปัสสนา ถ้ายกขึ้นสู่วิปัสสนา คนที่มีอำนาจวาสนา หรือไม่มีอำนาจวาสนา ตรงนี้ มันยกขึ้นไม่ได้ พอยกขึ้นไม่ได้มันก็เป็นสัญญาอารมณ์ คำว่าสัญญาอารมณ์คือของมันมีอยู่แล้วไง คือการจำ มันไม่เป็นความจริง 

แต่ถ้าเป็นความจริงมันไม่ใช่สัญญาอารมณ์ มันไม่มีการทับซ้อน มันเป็นความจริงๆ ถ้าความจริงมันถึงตัวมันเลย แต่ถ้ามันเป็นสัญญาอารมณ์มันทับซ้อน เพราะความจริงมันอีกอย่างหนึ่ง ความจำอีกอย่างหนึ่ง แล้วเอาความจำมาล่อ แล้วเราก็อยู่กับความจำนั้น พออยู่กับความจำนั้นก็พิจารณากันอยู่อย่างนั้น มันไม่จริงสักที ไม่จริงสักทีเพราะอะไร เพราะมันเป็นความจำ

เวลากรรมฐาน เวลากรรมฐานครูบาอาจารย์ที่ท่านตรวจสอบกัน เห็นไหม ถ้ามันเป็นสัญญาๆ เวลาหลวงตาท่านเทศน์ ท่านจะเน้นย้ำตรงนี้เลย ตรงนี้สำคัญมาก ถ้าสัญญาคือภาพลวง สัญญาคือความจำมันไม่ใช่ความจริง ถ้าไม่ใช่ความจริง ไม่ใช่ความจริงมันก็ไม่เข้าถึงกิเลส มันเป็นการฆ่ากิเลสไปไม่ได้ ถ้าเป็นการฆ่ากิเลสไปไม่ได้แล้วมันมีผลอย่างไรล่ะ ก็ตัวเสี้ยมไง ตัวเสี้ยมมันอยู่นั่นน่ะ ไอ้ตัวเสี้ยมคือกิเลส 

ถ้ามันเข้าสู่สัจจะความจริงมันเข้าสู่ตัวเสี้ยม แล้วเวลาพิจารณาไปแล้ว ไอ้ตัวเสี้ยมมันจะถอย มันจะหลบหลีก เวลาการฆ่ากิเลส การฆ่ากิเลสนะ ไม่ใช่ว่าเรารู้ทันแล้วมันจะจบนะ ไม่ใช่ ไม่ใช่หรอก มันหลบมันหลีก มันหลบมันซ่อน

นี่ไง เวลาหลวงตาท่านเทศนาว่าการนะ ท่านบอก แก่นของกิเลส แก่นของกิเลส กิเลสมันเหนียวแน่น แก่นของกิเลสฆ่ายากที่สุด มันหลบมันซ่อน มันพลิกมันแพลง ไอ้เราก็คิดว่าพอหลบพอซ่อนก็นึกว่าจบแล้ว ไอ้คนที่วุฒิภาวะอ่อนแอ มันหลบมันซ่อนเฉยๆ นั่นน่ะตทังคปหานนั่นแหละ แต่ถ้ามันเป็นจริงๆ มันจะไล่เข้าไปเลย มันจะสมุจเฉทปหาน มันตายต่อหน้านะ ถ้าตายต่อหน้ามันต้องเป็นความจริงไง ถ้าความจริงมันเกิดขึ้น อันนี้เกิดขึ้นความจริง

ฉะนั้น ถ้ามันเป็นความจำ เราปฏิบัติเป็นความจำ แต่มันก็อาศัยความจำไปก่อน คนที่ภาวนาไม่เป็น เวลาคนที่จะประพฤติปฏิบัติห่วงนักว่า เราปฏิบัติไปแล้วมันจะขาดตกบกพร่อง มันจะผิด ต้องมีการศึกษาก่อน ศึกษามาเพื่อให้รู้แนวทาง การศึกษา คือการจำ แล้วจำมา เห็นไหม ที่หลวงปู่มั่นท่านบอกเลยมหา มหาเรียนถึงมหามานะ ถ้าเวลาจะประพฤติปฏิบัติให้เอาความจำนั้น เอาการศึกษานั้นใส่ในลิ้นชักสมองไว้ แล้วล็อกกุญแจมันไว้นะ อย่าให้มันออกมา แล้วเราปฏิบัติของเราไปก่อน ถ้าปฏิบัติไปพร้อมกันมันจะเตะมันจะถีบกัน ถ้าปฏิบัติพร้อมกันมันจะเป็นความจำ มันจะเป็นสัญญา มันจะเป็นภาพเชิงซ้อน มันซ้อน ขึ้นมาว่าให้เหมือนจริง แล้วเราทำแล้วเราคิดว่ามันเป็นจริง แต่มันไม่เป็นจริงไง มันจะเตะมันจะถีบกัน พอมันจะเตะมันจะ ถีบกัน เราปฏิบัติมันก็แสนยากอยู่แล้ว แล้วยังให้มีอุปสรรค ขึ้นไปอีก มันยิ่งให้ยากขึ้นไปอีก

หลวงปู่มั่นท่านถึงเมตตามาก ท่านถึงบอกว่าให้เอาความจำ เอาการศึกษาใส่ในลิ้นชักสมองไว้ก่อน แล้วล็อกกุญแจไว้อย่าให้มันออกมา เราวิเคราะห์วิจัยงานเดียว หน้าเดียว เฉพาะกิเลสอย่างเดียว ไม่เอาทฤษฎี เอาความจำ เอาธรรมะของพระพุทธเจ้ามาให้ค่า มาคอยส่งเสริมให้เราไขว้เขว นี่ไง มันจะเตะมันจะถีบกัน

ฉะนั้น เวลาเอาจริง เอาจริง พิจารณาตามความเป็นจริงนั้น ถ้าพิจารณาความเป็นจริงนั้น เวลาเป็นความจริงแล้ว อันเดียวกัน เหมือนกัน แล้วเข้าใจลึกซึ้งมาก ฉะนั้น สิ่งที่เป็นความเข้าใจอย่างนั้นถึงบอก เวลาจะปฏิบัติถ้ามันมีสิ่งใดเกิดขึ้น ที่มันเห็นผลของการภาวนาเนี่ย วางไว้ให้หมด พุทโธอย่างเดียว หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ โดยข้อเท็จจริงเลยนะ มันจะเป็นความจริงได้ต่อเมื่อจิตสงบ มันจะเป็นความจริงได้ ต่อเมื่อจิตเป็นสมาธิ

จิตตัวเองก็ไม่เป็นสมาธิ ผลที่เกิดขึ้นกิเลสมันหลอกทั้งนั้น ไม่ใช่จิตนะ จิตเป็นจิต กิเลสเป็นกิเลส กิเลสในจิตมันหลอกทั้งนั้น พอมันหลอกทั้งนั้นขึ้นมา แล้วเราปรารถนาจะประพฤติปฏิบัติ เราปรารถนาอยากได้ธรรม มันก็จะเอาเรื่องคุณธรรมมาหลอก ได้แล้ว ได้แล้ว เป็นแล้ว แล้วถ้ากำลังมันอ่อนแอ จบ มันทำให้ เสื่อม ทำให้ไร้ค่าเลย ทำให้ตัวเองว่าเราไม่มีวาสนา เราเป็นคนด้อยค่า เวลามันเสี้ยมทั้งบวกและลบให้เราเสียหายหมด แต่ถ้าเรายังไม่มีสติปัญญาเท่าทันมันนะ หายใจเข้านึกพุท หายใจออก นึกโธ สำคัญที่สุด

ทีนี้คำถามที่ว่าแต่เดิมเขาใช้ปัญญาอบรมสมาธิ แล้วใช้ปัญญาต่อไปมันมีการพิจารณา ช่วงแรกๆ มันจะมีงานให้ทำดีมาก แล้วช่วงหลังๆ ไป มันหาสิ่งใดไม่เจอ ทำสิ่งใดไม่ได้มันเลย ไม่ก้าวหน้าเพราะจิตสงบแล้ว คนเวลาเขาทำหน้าที่การงาน นะ เวลาเขาได้ผลตอบแทน เงินน่ะเป็นเงินสด เงินแท้ มันจะมีคุณค่า แต่ถ้ามันไปได้เงินเทียม ได้ของปลอม มันจะไร้ค่าทั้งนั้นเลย

ฉะนั้น สิ่งที่เราประพฤติปฏิบัติไป เราจะปฏิบัติด้วยความจริง ถ้าอยากได้ความจริง มาตรฐานของมันคือสัมมา-สมาธิ มาตรฐานของมันคือความสงบ ถ้ามาตรฐานของมันคือความสงบ เราหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ถ้าใช้ปัญญาอบรมสมาธิ แต่เดิมใช้ปัญญาอบรมสมาธิ แล้วมีงานให้ทำตลอด คือมีอารมณ์ มีความรู้สึกนึกคิดให้จับต้อง แล้วพิจารณาได้ อันนั้นมันบ้านเรายังสกปรก ถ้าบ้านเราสกปรกแล้ว เราทำความสะอาด สิ่งสกปรกนั้นเราจะทำความสะอาดไป ถ้ามันทำความสะอาดไป สะอาดไป พอมันหายสงสัยหมดแล้ว มันเหมือนกับไม่มีสิ่งใดที่จะต้องให้เราได้ทำความสะอาด มันก็เหมือนไม่มีงานทำ แต่ความจริงมี

ถ้ามีงานเราก็ใช้ปัญญาอบรมสมาธิไปสิ ตรึกในธรรม ตรึกในธรรม เพราะคำว่าตรึกในธรรมธรรมะขององค์สมเด็จพระ-สัมมาสัมพุทธเจ้า อารมณ์ความรู้สึกนึกคิดมันมีร้อยแปด ตรึกในธรรมก็จับประเด็นใดขึ้นมา แล้วเราใช้ปัญญาใคร่ครวญตรึกในธรรม ถ้าตรึกในธรรมมันก็เป็นธรรมไง ถ้าตรึกในธรรม ตรึกในธรรมผลมันก็สงบ สงบก็พุทโธต่อเนื่องไป ต่อเนื่องพอออกไปก็ตรึกในธรรม ตรึกในธรรมไปเรื่อย

ตรึกในธรรม ธรรมะตรึกในธรรม เห็นไหม วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตารมณ์ วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตารมณ์ จิตนี้เป็นนามธรรม เพียงแต่เราจะบริหารจัดการมันอย่างไร ถ้าเราบริหารจัดการมันอย่างไร การบริหารจัดการคือความเพียร ความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะ บริหารจัดการหัวใจของเรา ถ้าบริหารจัดการของเรามันจะพัฒนาขึ้นจะดีขึ้น มันจะเป็นผลงานของเรา ถ้าเป็นผลงานของเรา เรารู้เอง ทำเพื่อให้รู้ ให้ชัดเจนไง ความรู้ของเรามันจะเป็นปัญญาของเรา

ฉะนั้น สิ่งที่บอกว่าแต่เดิมใช้ปัญญาอบรมสมาธิมันจับต้องได้ รู้สึกว่ามันจับได้ยาก ตอนนี้มันจับไม่ได้เลย เลยไม่มีเรื่องให้พิจารณา ไม่เหมือนช่วงแรกๆ จนทำให้ความเพียรลดลงเรื่อยๆ เพราะไม่รู้จะทำงานอะไร จนทำให้ความเพียรลดลงเรื่อยๆความเพียรลดลงเรื่อยๆ เพราะว่า ก็หายใจเข้านึกพุท หายใจออก นึกโธ นี่ชัดเจน มันจะไม่มีอะไรทำได้อย่างไร เพราะ เพราะถ้า จิตมันสงบแล้วนะ จิตสงบคือพุทธะ แล้วถ้าพุทธะ พุทธะคือจิตเดิมแท้ ถ้าจิตเดิมแท้มันพิจารณาไป มันจะเป็นงานของจิต มันไม่ใช่งานของสมอง งานของวิทยาศาสตร์ งานของทางโลกไง

เราพูดประจำ วิทยาศาสตร์แก้กิเลสไม่ได้ วิทยาศาสตร์แก้กิเลสไม่ได้ เพราะเป็นสูตรทฤษฎี แต่ถ้าความจริงเพราะกิเลสมันแง่มันงอน กิเลสมันหลอกมันลวง เห็นไหม ถ้าเป็นปัญญา ปัญญาเกิดจากจิต ถ้ามันเข้าไปสู่จิต มันจะตามกิเลสเข้าไป ตอนนั้น ตอนนั้นต่างหากมันถึงจะเป็นภาวนามยปัญญา ปัญญาที่เกิดขึ้นมามันถึงจะมีงานทำ 

คำถามบอกว่าเขาทำๆ มาแล้วมันลดลง ความเพียร ลดลงเรื่อยๆ จนไม่มีงานทำงานของเราเยอะแยะ แต่เพียง แต่ว่าเราเข้าใจผิดไง เราเข้าใจผิด เราคิดว่าสิ่งที่ปล่อยวาง ปล่อยวาง ปล่อยวางโดยที่ไม่มีเหตุไม่มีผล หลวงตาท่านภาวนาของท่านไปนะ มันว่างๆ หมด ท่านบอก ว่างหมดอย่างนี้ไม่เอา มันไม่มีเหตุไม่มีผล ต้องมีเหตุมีผล 

เวลาพระสารีบุตรไปฟังธรรมพระอัสสชิ ธรรมทั้งหลาย มาแต่เหตุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ไปละที่เหตุนั้น เพราะมีเหตุ มีการกระทบ มันถึงเกิดผลมาตลอด มันต้องกลับไปตรงนั้น ถ้ากลับไปตรงนั้น ไปละกันที่เหตุ ไปต่อสู้กันที่เหตุ เหตุและปัจจัยทำให้เกิดทุกๆ เรื่อง แล้วเราก็หาเหตุหาปัจจัยแล้วไปลบล้างกัน ไปสะสางกันด้วยสติด้วยปัญญาของเรา อันนี้การภาวนานะ 

คนเราบอกว่าโอ้โฮ! เขาไม่มีเวลาภาวนา แต่นี่บอกว่าความเพียรมันลดลงเรื่อยๆ ลดลงเรื่อยๆ เพราะว่ามันไม่มีงานจะทำเวลางานมันจะทำขึ้นมาเราก็ไปเข้าใจ แล้วเข้าใจว่าสิ่งที่ทำไปแล้วมันจะเป็นวัตถุไง เป็นเอกสาร เอกสารเสร็จแล้วก็ใส่ แฟ้มไว้ แต่เอกสารนั้นน่ะมันก็อยู่ในแฟ้มนั่นน่ะ แต่ความรู้สึก เรามันสุขมันทุกข์ นามธรรมมันเกิดดับตลอดเวลา มันเกิดขึ้นมามันก็ดีขึ้น เวลามันดับไปแล้วเดี๋ยวมันก็เกิดอีก มันเกิดดับ เกิดดับอยู่อย่างนั้น มันไม่จบไม่สิ้นหรอก ถ้ามันยังไม่ได้ชำระล้างกิเลส

ฉะนั้น ถ้ามันยังไม่ชำระล้างกิเลส เราก็มีสติปัญญามากขึ้น ไตร่ตรองมากขึ้น ทำให้มันละเอียดลึกซึ้งมากขึ้น ตามมันเข้าไปเรื่อยๆ กิเลสต้องตามเข้าไปเรื่อยๆ จนมันไปจนมุม แล้วต่อสู้กัน พิจารณากันจนถึงที่สุด นั่นน่ะงานถึงจะจบ ถ้ายังไม่ถึง อย่างนั้นยังไม่จบ งานไม่มีวันจบ ยังมีอยู่ต่อเนื่องไป ยังไม่มีวันจบวันสิ้น นี่พูดถึงการภาวนาต่อเนื่องไปนะ จบ

ถาม : เรื่องไม่ลงสู่ความว่าง

กราบเท้าหลวงพ่อ 

ตั้งแต่รู้จักหลวงพ่อทางเว็บไซต์ ผมก็ปฏิบัติบูชา ภาวนาทุกวันต่อเนื่องมาหลายปี โดยใช้ปัญญาอบรมสมาธิ ในช่วงแรกๆ พบว่าการพิจารณามันซ้ำและจืดชืดไม่ลงลึกต่างจากช่วงปีแรกๆ ที่เวลาพิจารณามันจะสนุกและเจอความรู้สึกที่ลึกซึ้ง หรือสิ่งแปลก ใหม่เสมอ สามารถวกกลับไปอยู่ในความว่างตัวตนได้บ่อยๆ ตอนนี้ก็เลยลองกลับมาพุทโธช่วย แต่ก็กลับมาติดหลับอีก 

รบกวนหลวงพ่อให้อุบายด้วยครับ

ตอบ : นี่พูดถึงว่าการภาวนาอย่างต่อเนื่องนะ เขาก็ภาวนามาหลายปี ถ้าภาวนามาหลายปี การใช้ปัญญาอบรมสมาธิ ช่วงหลังๆ พบว่าการพิจารณามันซ้ำซากและจืดชืด การซ้ำซากและจืดชืดมันแบบว่ามันคุ้นชินไง พอมันคุ้นชิน เวลาหลวงตาท่านสอน สอนพวกนี้ไง สอนพวกเรานี่แหละ บอกเวลาเราภาวนากัน เวลาใช้อุบายซ้ำซาก ซ้ำซาก ท่านบอกเลย เวลาปฏิบัติโง่อย่างกับหมาตาย โง่อย่างกับหมาตาย เวลามันซ้ำซาก โง่อย่างกับหมาตายมันจืดมันชืด เวลามันจืดมันชืด หมามันตายแล้ว หมาตายคือซากหมาที่มันตายแล้วมันไม่มีชีวิต มันนอนอยู่นั่นมันอยู่เฉยๆ ของมัน แมลงวันตอมอย่างเดียวเท่านั้น

นี่ก็เหมือนกัน เวลาภาวนาขึ้นไป โง่อย่างกับหมาตาย ทำซ้ำทำซาก มันต้องมีอุบายพลิกแพลงไง ถ้าอุบายพลิกแพลงเราก็ไม่กล้าพลิกแพลง แล้วถ้าพลิกแพลงควรที่จะเป็นอุบายธรรม พลิกแพลง มันกลายกลับเป็นกิเลสพลิกแพลง กิเลสมันก็สร้างเรื่องให้ กิเลสมันก็พยายามหลอกลวงเรา เราก็ไปตามมันหมดเลย ควรจะเป็นธรรมะพลิกแพลง ความเพียรเราพลิกแพลง พลิกแพลง เป็นอุบาย เพื่อพลิกแพลงให้กิเลสมันตามไม่ทัน ไอ้นี่กลับไปทำซ้ำซาก ซ้ำซากจนมันจืดชืด

เวลามันจืดชืดนะ ถ้ามันจืดชืด ความจืดชืด หนึ่งเวลาคนที่พุทโธๆ สัทธาจริต สัทธาจริต คนเวลาหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธต้องมีศรัทธา มีความมั่นคงนะ มันถึงจะหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธอยู่อย่างนั้นได้ แต่ถ้าเป็นปัญญาวิมุตติ เป็นพวกพุทธิปัญญาคือพวกปัญญาชน พุทโธมันไม่มีเหตุมีผล พุทโธมันจืดมันชืด พุทโธมันจะมีค่าอย่างไร

พุทโธคือพุทธะ พุทโธนี่สุดยอด นี้พุทโธสุดยอด คนที่ทำพุทโธได้มันต้องมีศรัทธา ความมั่นคง ศรัทธามั่นคง คือศรัทธาในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศรัทธาในพระพุทธ ศรัทธาในพระธรรม ศรัทธาในพระสงฆ์ ความมั่นคงในรัตนตรัย แล้วหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ เขาเรียกสัทธาจริต คนที่สัทธาจริตเขาจะมั่นคงของเขา 

พุทธจริต พุทธจริต ไอ้พวกปัญญามาก พุทโธไม่มีเหตุ พุทโธไม่มีผล อะไรก็ไม่มีเหตุไม่มีผล พยายามจะหาเหตุผล หาเหตุผลมันจะใช้ปัญญา ปัญญาอย่างนี้เป็นปัญญาอบรมสมาธิ เพราะมันเป็นปัญญาของกิเลส ปัญญาของตัวตนของเราไง เพราะเราสำคัญว่าเราฉลาด เรามีปัญญามาก เราคิดได้เก่ง มันคิดมาจากตัวตนของเรา คิดมาจากภพ คิดมาจากอวิชชาทั้งนั้น แบบว่ามันคิดอวิชชา

แต่ถ้ามันมีสติปัญญา ในเมื่อจะคิดอวิชชาก็มีสติปัญญาเท่าทันไป พอมันคิดไปแล้วมันจบไง เพราะความคิด คิดจนรอบ แล้วนะ มันว่างเปล่า คิดสุข สุขก็อารมณ์เท่านั้นเอง คิด ทุกข์ ก็ทุกข์เกือบเป็นเกือบตาย มันว่างเปล่าทั้งนั้น ถ้ามันใช้ปัญญาไล่ตามไปแล้วมันเกิดขึ้นมาจากแรงกระตุ้น พลังงาน พลังงานทำให้คิด พอคิดจบแล้ว คิดจบแล้วผลของมันคืออะไร ผลของมันคือสุขและทุกข์ไง มโนกรรม คือการกระทำของจิต จิตมันคิดก็มโนกรรม แล้วถ้ามโนกรรมๆ นะ ย้ำคิดย้ำทำ มโนกรรมไง ถ้ามันกรรมดีๆ 

นี่พูดถึงว่าสิ่งที่ว่ามันจืดชืด ถ้ามันจืดชืดนะ มันจืดชืดเพราะว่ามันซ้ำรอยเก่า ซ้ำรอยเก่า แต่ถ้ามันมีอุบายปั๊บมันไม่จืดชืด เวลาพระเราปฏิบัติ เวลาเขาบอกใช้ปัญญาอบรมสมาธิ เขาคิดไปเรื่อย คิดไปจนนุ่งขาสั้น คิดไปจนตั้งแต่เด็ก เวลาคิดไป แล้วคนที่ภาวนานะ เวลาคนมาฝึกหัดภาวนา ก็พยายามจะไม่คลุกคลีใช่ไหม แต่เวลาภาวนาไปมันก็จะพุทโธไปเรื่อยๆ ความคิดเดิมๆ จะผุดขึ้นมาทั้งนั้น

เวลาถ้าจิตมันจะสงบนะ มันจะรื้อค้นให้หัวใจว่าง แต่หัวใจของเรามันมีประสบการณ์ของมัน เวลาเราคิดเรื่องเด็กๆ เราย้อนไปตั้งแต่เด็กทำอะไร แล้วชาติที่แล้วล่ะ แล้วชาตินู้นล่ะ แล้วชาตินู้นกับชาติที่แล้วมันคืออะไร อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สงฺขาราปจฺจยา วิญฺญาณํ เห็นไหม มันอยู่ในปฏิสนธิจิต แต่เวลาเราเกิดมาแล้วเรามีสถานะเป็นมนุษย์ เพราะมนุษย์มีกายกับใจ มีภพ ถ้ามันคิดได้มันคิดตั้งแต่ภพชาตินี้ไง

ภพชาตินี้มันรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ขันธ์ มีธาตุ และขันธ์ ธาตุ และขันธ์ ถ้าในปัจจุบันนี้วิทยาศาสตร์เราก็คิดได้แค่เด็ก แต่ถ้าจิตจริงๆ เวลาจิตสงบแล้ว บุพเพนิวาสานุสติญาณ มันย้อนไปเลย ถ้ามันย้อนไปเลย เห็นไหม ถ้ามันไปเห็นอย่างนั้นแล้วมันก็ไม่จืดชืดไง 

แต่ถ้าเขาว่ามันจืดชืด มันไม่เหมือนช่วงปีแรกๆ ที่พิจารณาสนุกช่วงแรกๆ เพราะว่าเราเริ่มทำงานใหม่ มันก็เป็นอุบายใหม่ มันไม่เหมือนกับซากหมาตาย ไอ้ที่ว่าถ้ามันยังคิดเป็นทำเป็น มันก็สนุกสนานของมัน ถ้าสนุกสนานของมัน มันเจออะไรลึกซึ้งแปลกใหม่เสมอๆ ถ้าทำอีกมันอันเดียวกัน แล้วไม่ใช่ ลึกซึ้งอย่างนี้นะ บุคคล คู่ คู่ที่ ก็ลึกซึ้งแบบคู่ที่ คู่ที่ ลึกซึ้งกว่า ยิ่งคู่ที่ มหาสติ มหาปัญญา ลึกซึ้งกว่า แล้วคู่ที่ กายนอก กายใน กายในกาย เพราะอะไร การพิจารณากาย คู่ที่ โสดาบัน คู่ที่ สกิทาคามีก็พิจารณากาย คู่ที่ อนาคามีก็พิจารณากาย คู่ที่ พิจารณา พิจารณาจิตแท้ๆ เลย พิจารณากาย กายที่ละเอียดลึกซึ้งไง

เวลาพิจารณาไป กายนอก กายใน กายในกาย เพราะพิจารณากายเหมือนกัน ถ้าพิจารณากายไปแล้วมันจบ แล้วต่อไปพิจารณาอะไร พิจารณากายขั้นหนึ่งมันมีโรคภัยไข้เจ็บระดับหนึ่ง เวลาพิจารณากายไปแล้วมันสำรอกโรคภัยไข้เจ็บนั้นออกไป หมดแล้ว กายก็อยู่อย่างนั้นน่ะ แต่กายอย่างนั้น กายชิ้นนี้มันหมดสิ้นไป กายขั้นต่อไป เห็นไหม โรคชนิดใหม่ โรคที่ลึกซึ้งกว่า มันก็อาศัยร่างกายนั้นเกาะกินเหมือนกัน ถ้าเห็นกายได้ตาม ความเป็นจริงก็พิจารณากายอันนั้น มันก็สำรอกโรคอันนั้นออกไป มันคู่ที่ คู่ที่ ก็พิจารณากายอีก แต่กายนี้เป็นกามราคะ ปฏิฆะเลย แต่ถ้าพิจารณาไปแล้วเป็นมหาสติ มหาปัญญา พิจารณาซ้ำไป พิจารณาไปซ้ำ

นี่บอกว่าถ้าพิจารณาแล้วมันจืดชืด พิจารณาแล้วมันซ้ำซ้อน พิจารณาแล้วมันไม่มีสิ่งใดแปลกใหม่ ไม่มีสิ่งใดแปลกใหม่เพราะกิเลสมันหลอก เพราะว่าภาษาเรานะ การภาวนา เห็นไหม ในเรื่องของประชาธิปไตย สิทธิความเป็นมนุษย์เสมอภาค กัน เวลาเสมอภาคกัน กฎหมายบอกว่าทุกคนเท่ากันในทางกฎหมาย นี้พอเราเกิดเป็นมนุษย์ เราก็คิดว่าทุกคนคิดเหมือนกัน ไง การภาวนาทุกคนก็ต้องเห็นเหมือนกันไง ประชาธิปไตยไง แต่ในทางปฏิบัติไม่ใช่ ในทางปฏิบัติมันเป็นอุดมการณ์ เป็นหัวใจที่เห็น เป็นอำนาจวาสนาของตน ถ้าอำนาจวาสนาของตนนะ มันก็ขุดเข้าไปในใจของตนนั่นแหละ ถ้ามันขุดเข้าไปในใจของตน มันก็จะไปเห็นกิเลสของตน แล้วกิเลสของแต่ละบุคคล มันก็เป็นของบุคคลคนนั้น

นี่ย้อนไปมันก็อยู่ที่วาสนาแล้ว ถ้าอยู่ที่วาสนานะ มันจะมีสติมีปัญญาการกระทำนั้นเข้าไป ถ้าการกระทำนั้นเข้าไป ถ้ามันเป็นจริงขึ้นมานะ มันก็ย้อนกลับมา ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ เวลาพระสารีบุตรไปเฝ้าพระอัสสชิ ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนนั้น เวลาองค์สมเด็จพระสัมมา- สัมพุทธเจ้าตั้งอัครสาวกเบื้องซ้าย เบื้องขวา นั่นก็เป็นเพราะ ของเขา เขาสร้างเหตุของเขามา พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ สร้างเหตุของเขามา อธิษฐานว่าขอให้ได้เป็นอัครสาวกเบื้องซ้าย และเบื้องขวาเขาต้องสร้างบุญกุศลของเขาเต็มเปี่ยมแล้ว เขาถึงได้ผลตอบแทนของเขา นั่นเป็นเพราะเหตุของเขา

นี่ก็เหมือนกัน เวลาภาวนาไป ภาวนาไป แต่ละจิตแต่ละดวงใจ สิ่งที่ว่ามันไม่จืดชืดมันมีงานทำของมัน มันมีการมุมานะของมัน ก็วาสนาของเขา เขาสร้างของเขามา เพราะเขาสร้างของเขามา เขาถึงมีเข็มมุ่ง เขามีเข็มทิศ เขามีสิ่งความจงใจ เขาถึงมีความลึกซึ้งขุดค้นเข้าไปถึงจิตใจของเขา แล้วก็ทำต่อเนื่องของ เขา จนได้ผลตอบแทนของเขา ถ้าเรามีวาสนาของเราระดับนี้ เราจะมีความมุ่งมั่นของเราอย่างนี้ เราก็พยายามของเรา เห็นไหม บุคคลจะล่วงพ้นทุกข์ด้วยความเพียร

นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่ทำ สิ่งที่ว่าทำไมเดี๋ยวนี้มันเป็นอย่างนี้ ตั้งแต่รู้จักหลวงพ่อมา ปฏิบัติมาหลายปี โดยใช้ปัญญาอบรมสมาธิอันนั้นมันก็เป็นวาสนาของคนไง วาสนาของคนว่าใครทำเท่าไรก็ได้ผลตอบแทนเท่านั้น แล้วใครทำเท่าไรแล้วถ้ามีสติมีปัญญามากกว่า ผลตอบแทนมันก็ต้องลึกซึ้งกว่า กว้างขวางกว่า เข้าไปถึงหัวใจได้ดีกว่า แต่ถ้าคนที่สติปัญญาน้อยแล้วอำนาจวาสนาของคนมีเท่านั้น มันพยายามขวนขวายแล้วมันเข้าไปไม่ได้ แล้วใครจะทำให้ได้ล่ะ มันก็เป็นวาสนาของคนใช่ไหม

ถ้าเป็นวาสนาของคนแล้ว ครูบาอาจารย์ท่านสอนว่า คนจะล่วงพ้นทุกข์ด้วยความเพียร ถ้าเรามีอำนาจวาสนาระดับนี้ เราก็พยายามทำของเราเพื่อเพิ่มพูนอำนาจวาสนาของเรา ถ้าเพิ่มพูนอำนาจวาสนาของเรา ถ้าเรามีเป้าหมาย มีความเป็นจริงของเรา แล้วเราทำของเราจริงๆ เราถึงบอกแนะนำประจำว่า ให้ปฏิบัติถวายองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้ปฏิบัติถวายองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พยายามขวนขวายที่สุด ทำให้ถึงที่สุด มีเป้าหมายให้ลึกซึ้งที่สุด มันจะได้เท่าใดก็เท่านั้น 

แต่ถ้าบอกว่าถ้าเป็นอย่างนั้นมันจะเป็นอย่างนั้น มันจะ ทำให้เราแบบอะไรนะ รู้โจทย์ก่อน รู้ผลตอบแทนก่อน แล้วพยายามเอาแต่ผลตอบแทนนั้น แต่! แต่ความเพียรเราไม่ถึง ไม่ได้ แค่นั้น มันจะติดขัดกันอยู่อย่างนี้ ฉะนั้น ประพฤติปฏิบัติ ปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วปฏิบัติบูชาโดยความเป็นธรรมนะ โดยความตั้งใจจริงของเรานะ ถ้ามันเป็นจริงอันนั้นจะเป็นมรรคเป็นผลของเรา ถ้าเป็นมรรคเป็นผลของเรา จบเลย สิ่งที่สงสัย สิ่งที่มันมีสิ่งใดกีดขวาง มันจบ จบเพราะ อะไร จบเพราะความจริงอันนั้น

ฉะนั้น เขาบอกว่าตอนนี้เลยกลับมาพุทโธช่วย แต่กลับ มาติดที่หลับกลับมาพุทโธช่วย ใช้ปัญญาอบรมสมาธิ แล้ว ถ้าจิตมันสงบแล้วเราพุทโธต่อเนื่องไป ถ้าติดที่มันหลับเราก็ต้องแก้ไข เวลาติดที่มันหลับ เราก็เดินจงกรมซะ ติดที่มันหลับก็มาอดนอนผ่อนอาหารซะ อดนอนผ่อนอาหาร ถ้ามันหิวมันกระหาย มันจะหลับให้มันหลับไป ส่วนใหญ่แล้วถ้ามันหิวมันกระหายนะ ท้องร้องจ๊อกๆๆ หลับไม่ลงหรอก ถ้ามันหลับไม่ได้เราภาวนาต่อเนื่องไป เพราะ เพราะผลตอบแทนจากคุณธรรมนั้นสูงส่งยิ่งใหญ่ จิตนี้ไม่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะนะ 

จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะด้วยผลบุญผลกรรม เราเกิดมาเราก็เป็นเด็กน้อย จะต้องเติบโตขึ้นมาจนชราคร่ำคร่าแล้วก็ตายไป แล้วก็ไปเกิดใหม่ มันก็วนเวียนอยู่อย่างนี้ วนเวียนอย่างนี้ ด้วยอะไร ด้วยผลบุญผลกรรม ถ้าได้สร้างคุณงามความดีมา ชีวิตเราก็ราบรื่น ถ้ามันมีบาปกรรมมา เราก็ทุกข์จนเข็ญใจ มันก็เวียน เวียนอยู่อย่างนี้ 

แต่ถ้าเราทำความจริงของเรา เห็นไหม สิ่งที่มีคุณค่า คุณค่ามันยิ่งใหญ่อย่างนั้น ถ้ากลับมาที่จิตหลับ เราจะบอกคำว่าจิตหลับถ้ามันลงทุนลงแรงไป ทุกคนบอกโอ้โฮ! มันแบบว่ามันทุ่มเทเกินไป แต่ถ้าเป็นนักปฏิบัติด้วยกันนะ ผลที่มันจะได้มัน มีค่ามหาศาล แต่ถ้าไม่ปฏิบัติ เราคิดว่ามันจะเป็นความทุกข์ ความยาก แต่ชีวิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมันทุกข์ยากมากกว่า แล้วมันทุกข์ยากแบบว่าไม่มีต้นไม่มีปลาย มันทุกข์ ซ้ำซ้อน มันทุกข์ยาก ทุกข์แล้วทุกข์เล่า ทุกข์เดิมๆ ทุกข์อันเก่านั้นน่ะ แต่ต้องทุกข์ตลอดไป เพราะ เพราะยังมีชีวิต แต่ถ้าประพฤติปฏิบัติถึงที่สุดแห่งทุกข์แล้ว จบ มันไม่มาเกิดอีก ไม่มาทำอีก ฉะนั้น ถ้าคิดได้อย่างนี้แล้ว ไอ้ที่บอกว่าเวลาอดนอนผ่อนอาหารมันเป็นงานวิกฤติเกินไป งานที่รุนแรงเกินไป เราทำไม่ได้ มันจะแบบว่าไม่มากีดขวางเราได้อีกเลย ถ้ามันเป็นอย่างนั้นนะ 

ฉะนั้น เวลาปฏิบัติ ฉะนั้น เขาบอกว่าเขาปฏิบัติมาหลายปี ถ้าเป็นผลในโลก ถ้าปฏิบัติมาหลายปีก็คิดว่าทำมามาก แต่ถ้า เป็นในธรรมนะ พระพุทธเจ้า อสงไขย อสงไขย ๑๖ อสงไขย ท่านทำมากี่ภพกี่ชาติ เป็นอสงไขย อสงไขย นั่นจนบุญบารมีเต็มแล้วถึงได้มาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะก็อำนาจวาสนาของเขาเต็มแล้ว เขาถึงได้มา เกิด แล้วมาประพฤติปฏิบัติถึงที่สุดแห่งทุกข์ เป็นพระอัครสาวกเบื้องซ้ายและเบื้องขวา

ครูบาอาจารย์ของเราท่านประพฤติปฏิบัติของท่านมา แล้วถ้าท่านมีวาสนาท่านก็จะประพฤติปฏิบัติถึงที่สุดแห่งทุกข์ ถ้าไม่มีอำนาจวาสนา อำนาจวาสนาไม่พอ ท่านก็พยายามประพฤติปฏิบัติของท่าน ถ้าเป็นสัมมาทิฏฐิที่มีสติปัญญารู้เท่ากิเลสของตน ท่านก็จะปฏิบัติเพื่อเพิ่มอำนาจวาสนาบารมีของท่าน ให้ภพชาติสั้นเข้ามา ให้การปฏิบัติข้างหน้าถึงที่สุดแห่งทุกข์ 

แต่ถ้าเป็นมิจฉาทิฏฐิ ความเห็นผิด ก็หลอกลวงตัวเอง หลอกลวงตัวเองในการประพฤติปฏิบัติ แล้วก็หลอกลวงสังคม มันหลอกลวงสังคมมันก็เป็นบาปกรรมทั้งนั้น กรรมจำแนกสัตว์ ให้เกิดต่างๆ กัน การกระทำของเขาจะเป็นผลบุญของเขา จะเป็นบาปกรรมติดตัวเขาไป โดยเจตนาดีหรือชั่วก็แล้วแต่ ผลการกระทำนั้นมันจะติดหัวใจนั้นไป มันจะเป็นเวรกรรมของ จิตนั้นไป

ฉะนั้น เวลาใครประพฤติปฏิบัติ นั้นเป็นกรรมของสัตว์ นั้นเป็นเรื่องของเขา หลวงตาท่านสอนว่า ใครจะดี ใครจะชั่ว เรื่องของเขา เราจะทำคุณงามความดี ถ้ามีสติสัมปชัญญะพร้อม แล้ว ถ้ามันผิดพลาดไป ระลึกได้ เราก็จะแก้ไข เราจะทำ คุณงามความดีเพื่อหัวใจของเรา เอวัง